อยากผ่าน – ต้องรุม : “เนสต้า” ยอดกองหลังทางบอลอันดับ 1 แห่งยุค 90s-2000s
เขาคือเจ้าของแชมป์โลก1 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย และกองหลังยอดเยี่ยม เซเรีย อา อีก 4 สมัย … ในวันที่เขาพีกที่สุดแชมป์และความสำเร็จเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเอามาพูดกันเลยก็ได้
ว่ากันว่านี่คือนักเตะที่เลี้ยงบอลผ่านยากในกัลโช เซเรีย อา ในวันที่ถูกเรียกว่า “ลีกรวมดาราโลก” … ถ้าอยากชนะเขา ต้องเอาเพื่อนมาด้วย
นี่คือเรื่องราวของ อเลสซานโดร เนสต้า กองหลังชาวอิตาลี ที่ถูกขนานนามว่า “ทางบอลดีที่สุดแห่งยุค” … ถ้าคุณสงสัยในตัวเขา Main Stand จะเล่าเรื่องนี้ให้คุณเข้าใจ
อิตาลียุคทอง
ย้อนกลับไปในยุค 90s กัลโช่ เซเรีย อา ถูกเรียกว่า “ลีกรวมดาราโลก” ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการ เพราะนี่คือลีกที่มีเงินสะพัดมากที่สุด เป็นลีกที่มีสโมสรระดับแถวหน้ามากมาย เป็นประเทศที่เหมาะแก่การไปอยู่อาศัย อากาศอบอุ่น อาหารอร่อย วัฒนธรรมมากมาย … ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่นักเตะแถวหน้าของยุคนั้นอยากไปที่ อิตาลี
ในช่วงนั้น ฟุตบอลอิตาลีเฟื่องฟูมาก คนเข้าชมเต็มเกมทุกสนาม และแต่ละทีมก็เก่งมาก มีลุ้นแชมป์ยุโรป ถ้วยเล็ก ถ้วยใหญ่อยู่ตลอด เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขามีถึง 7 สโมสรที่เก่งพอจะเป็นแชมป์ และ 7 ทีมนี้ประกอบไปด้วย ยูเวนตุส ,เอซี มิลาน ,อินเตอร์ มิลาน ,โรม่า ,ลาซิโอ ,ฟิออเรนติน่า และ ปาร์ม่า
ทั้ง 7 ทีมมีชื่อเรียกรวมกันว่า Seven Sister หรือ “สาวน้อยทั้ง 7” กล่าวคือคุณรักใครก็ได้ 7 คนนี้ พวกเขาสวยสะพรั่ง และจะไม่ทำให้คุณไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
ดังนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องของความร่ำรวย และความสุขสบาย แต่มันหมายถึงเรื่องความท้าทายด้วย … ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าคุณเก่งจริงหรือไม่? คุณต้องไปเจอกับเหล่ายอดฝีมือที่อิตาลี และพิสูจน์มันด้วยตนเอง
และเมื่อเหล่าสตาร์ระดับโลกตบเท้าเข้ามาที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะเหล่าตัวรุกที่เอ่ยชื่อต้องร้องอ๋อ ไล่มาตั้งแต่ยุคปลาย 80s ต่อต้น 90s อย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า, เยอร์เก้น คลิ้นส์มันน์, มาร์โก ฟาน บาสเท่น, จอร์จ เวอาห์ และอีกสารพัด
หรือจะต่อมาอีกหน่อยก็เป็นการรวมกันของเหล่าตัวรุกระดับพระกาฬแห่งยุคกลาง 90s ต่อ 2000s อย่าง โรนัลโด้, อังเดร เชฟเชนโก้, อาเดรียโน่, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, กาเบรียล บาติสตูต้า และอีกมากมายที่เอ่ยชื่อไม่หมด … การมาของพวกนี้ คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า อิตาลี คือประเทศที่เล่นเกมรับได้ดีที่สุด
เพราะนักเตะในตำแหน่งเกมรับส่วนใหญ่พวกสโมสรต่าง ๆ มักจะใช้นักเตะท้องถิ่น ปั้นดาวรุ่งกันขึ้นมา และเอาโควตานักเตะต่างชาติ (เดิมทีเริ่มต้นจาก 3 คน และขยับมาเป็น 4 คน จนมีการเปิด Open ในภายหลัง) ไปใช้ในส่วนของเกมรุกกันหมด ดังนั้นเด็ก ๆ ที่เป็นกองหลังในอิตาลีหลายคนจึงได้ประโยชน์นี้
เพราะพวกเขาจะมีโอกาสลงสนามมากขึ้น และยิ่งกว่านั้นคือการได้ดวลกับเหล่าพระกาฬในสนามซ้อม ไปจนถึงสนามแข่ง … เจอกันบ่อยขนาดนี้ไม่มีทางที่นักเตะเหล่านี้จะไม่เก่งขึ้นแน่นอน และ อเลสซานโดร เนสต้า กองหลังดาวรุ่งจาก ลาซิโอ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เด็กที่ถูกสอนให้ใช้สมองเข้าบอล
อเลสซานโดร เนสต้า คือชาวโรมพันธุ์แท้ตั้งแต่ต้นตระกูล ตัวของเขาถูกค้นพบโดย ฟรานเชสโก้ ร็อคค่า แมวมองของทีม โรม่า ในระหว่างที่เขาลงเล่นให้กับ US Cinecitta ซึ่งเป็นสโมสรเยาวชนในเครือของ โรม่า …
ความรู้สึกแรกที่เจอถูก ร็อคค่า อธิบายว่า “โดดเด่นด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยม ความสง่างามในสนาม และความสามารถในการอ่านเกม” … เขากำลังพูดถึงเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบ คำอธิบายของเขามันดูเว่อร์เกินจริงมาก ๆ หากเราไม่ได้รู้กันก่อนว่า เนสต้า นั้นสุดยอดแค่ไหนหลังจากนั้น
จากคำกล่าวของ ร็อคค่า ด้วยเทคนิคและทักษะที่ดี เนสต้า นั้นเป็นกองหน้ามาก่อนในวัยเด็ก และศักยภาพมากพอจะปั้นต่อได้ ร็อคค่า กลับไปที่สโมสร เตรียมเอกสารและข้อมูลของ เนสต้า นำเสนอต่อทีมงานบริหารและฝ่ายสรรหานักเตะ คำอธิบายของเขาผ่านฉลุย สโมสรโรม่า เคาะ! เห็นด้วยว่าควรจะจ่ายเงิน มอบเงินสนับสนุน และทุนการศึกษาเพื่ออนาคตระยะยาวในการดึง เนสต้า มาร่วมทีม
ซึ่งเมื่อ ร็อคค่า เอาเอกสารทั้งหมดกลับมาให้คุณพ่อขอ เนสต้า… จูเซ็ปเป้ เนสต้า พนักงานการรถไฟและคนส่งน้ำดื่มตามบ้าน เซ็นสัญญา …ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อ จูเซ็ปเป้ ตอบกลับว่าลืมไปได้เลยว่าลูกของเขาจะเซ็นสัญญาฉบับนี้ เขาและครอบครัวคือแฟน ลาซิโอ พันธุ์แท้ และลูกชายของเขาจะรอสัญญาอย่าง ลาซิโอ เพียงทีมเดียวเท่านั้น
แม้สโมสรจะไม่ได้ยื่นสัญญาให้ก็ไม่เป็นไร จูเซ็ปเป้ ขอเขียนความฝันให้ลูกชายด้วยตัวเอง เขาพา เนสต้า ไปคัดตัวนักเตะเยาวชนสโมสรทันที พร้อมกับบอกว่าลูกของเขาเก่งขนาดที่ โรม่า มาจีบแล้วนะ อะไรประมาณนั้น
“เมื่อเราไปถึงที่นั่น เราเห็นเด็กมากมายที่นั่น และเราคิดว่า ‘นี่คงเป็นไปไม่ได้’ ” เนสต้าเล่า “แต่หลังจากการทดสอบครั้งแรก โค้ชคนหนึ่งเข้ามาเสนอสัญญาให้ผม และตำแหน่งในทีมให้พ่อของผมด้วย นี่คือความฝันที่เป็นจริง เพราะตลอดที่ผ่านมาพ่อยุ่งมากทั้งการดูแลแม่ ผม และน้องชายสองคนของผม ดังนั้นเขาจึงไม่เคยได้เล่นฟุตบอลเลย”
ตั้งแต่การเซ็นสัญญาในปี 1985 (อายุ 10 ขวบ) เนสต้า ขยันตั้งใจซ้อมมาตลอดเพื่อทดแทนฝันส่วนของพ่อเขาด้วย โดยในช่วงเวลาดังกล่าวก็ได้รับการปรับตำแหน่งให้เหมาะสม จากกองหน้าถอยมาเป็นกองกลาง และมาจบในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด และกลายเป็นนักเตะที่วงการฟุตบอลเด็กของ อิตาลี นั้น ขยันเขียนข่าวถึงเขามาตั้งแต่เล่นในทีมเยาวชนแล้ว
สุดท้ายเขาก็ถูกผลักดันขึ้นชุดใหญ่ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนวันเกิดของเขา เขาถูกให้ลงเล่นจับคู่กับ โฆเซ่ ชามอต กองหลังชาวอาร์เจนไตน์ที่เป็นไอดอลของเขา … ซึ่งตัว เนสต้า ก็เห็นความต่างของเกมระดับชุดใหญ่ในวันนั้น คนที่จะเล่นกองหลังในเซเรีย อา ได้ ต้องทำอย่างไร คิดแบบไหน จะทำตัวเป็นเด็กรอให้ใครดึงมือตอนล้มลงไม่ได้อีกเเล้ว
“คิดดูสิผมอายุ 18 ปี แต่ ชามอต นั้นเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวไปแล้ว ตอนที่ได้เล่นกับคนแบบนั้น คุณจะซึมซับไปในตัว คุณจะแอบชื่นชมเขาโดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะทุกเกม ทุกนาที เขาลงสนามเหมือนกับนักรบ ถึงเวลาต้องเตะเขาเตะแบบขาด ๆ แบบไม่กลัวฝั่งตรงข้ามจะเจ็บ เขาสอนว่าทำตัวให้เข้มเข้าไว้ อย่าได้หงอให้ศัตรูเห็นเด็ดขาด คำ ๆ นี้แหละผมท่องขึ้นใจเลย … ผมจะเล่นหนักให้ได้แบบเขาเลย” เนสต้า กล่าว
เล่นกับ ชามอต เพียงปีเดียวแนวคิดแบบนี้ก็ฝังหัว และเมื่อเข้าสู่ซีซั่นที่ 2 ในเกมระดับชุดใหญ่ อเลสซานโดร เนสต้า ก็กลายเป็นกองหลังผู้โด่งดังไปแล้ว
เคล็ดลับมันไม่ได้มีอยู่ที่ความหนักอย่างเดียวเท่านั้น ชามอต สอนแม้กระทั่ง วิธีการยืนเวลาโดนคู่แข่งรุมในสถานการณ์ 2-1 , การอ่านสถานการณ์ตั้งแต่ตอนที่กองกลางยังไม่ทันออกบอลจากเท้า, และสอนให้รู้จักเหลียมมุมในเข้าบอลในแบบคลาสสิกที่สุดแบบที่กองหลังคนหนึ่งจะทำได้นั่นคือ “หนักแต่ไม่ฟาวล์”
ในปี 1997 ลาซิโอ เปลี่ยนโค้ชมาเป็น สเวน โกรัน อีริคสัน โดยในช่วงปรีซีซั่นที่เขาเข้ามาคุมทีม อีริคสัน ถึงกับต้องมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้กับ เนสต้า ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นเขาอายุ 21 ปี อยู่เลยด้วยซ้ำ
มีการวิเคราะห์กันบนหน้าสื่อของ กัซเซ็ตต้า ในหัวข้อที่ว่า อเลสซานโดร เนสต้า เก่งแค่ไหน?
มีคำอธิบายว่า เนสต้า เหมือนกับ เกตาโน่ ชีเรอา (กองหลังของ ยูเวนตุส ยุค 80s) ผสมกับ ฟรังโก้ บาเรซี่ (ตำนานกองหลังของ เอซี มิลาน และ ทีมชาติลี) ในคน ๆ เดียว … ดุดันและสง่างามในเวลาเดียวกัน อ่านทางบอลได้เก่งที่สุด และมีจังหวะการเข้าแท็คเกิลที่แม่นยำที่สุดเท่าที่คุณจะนึกภาพออก … คนเดียวที่สมบูรณ์แบบพอ ๆ กับเขาคือ เปาโล มัลดินี่ .. ผมบอกได้เลยว่า เขาไม่มีจุดอ่อน ทุกอย่างที่คุณเรียกร้องจากกองหลัง เขามีสิ่งนั้นทั้งหมด
จากนั้นมาเราแทบไม่ต้องอธิบายอะไรกับเขาแล้ว เนสต้า กลายเป็นสัญลักษณ์ของกองหลังระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อในวันที่เขาจับคู่กับ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ซึ่งเป็นการเล่นแบบอีกคนชน อีกคนซ้อน สอดประสานกันอย่างลงตัว แม้แต่ทุกวันนี้เวลามีกองหลังคู่ไหนที่เหนียว ๆ คุณก็น่าจะเคยได้ยินคำถามที่ว่า “เทียบกัน เนสต้า กับ คันนาวาโร่” ได้หรือเปล่า? นั่นแสดงถึงความยอดเยี่ยมของ เนสต้า ได้เป็นอย่างดี และนั่นคือเหตุผลที่ เอซี มิลาน ซื้อตัวเขาไปด้วยค่าตัวถึง 33 ล้านยูโร ในปี 2002 และการมาของเขาที่ มิลาน ทำให้ อาชีพค้าแข้งของ เปาโล มัลดินี่ ยาวนานขึ้นด้วย เพราะเมื่อยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์กัน เนสต้า เป็นคนเก็บเรียบ เข้าชนให้ก่อนตลอด จนงานของ มัลดินี่ ไม่หนักเกินไปสำหรับบั้นปลายอาชีพของเขา
ด้วยวิธีไหน เนสต้า ถึงเหนียวได้ขนาดนั้น?
ไปกันให้ลึกอีกหน่อยเพื่อให้เห็นภาพว่า เนสต้า เก่งยังไง? มีการสรุปโดย Joe.UK สื่อในเครือของ BBCอธิบายไว้ว่า ทำไม เนสต้า ถึงได้รับการยกย่อง และเขาเล่นแบบไหนจึงทำให้ถูกยกย่องแบบนั้น
ประการแรกคือเนสต้า ใช้การทางบอลที่สุดยอดในการอ่านทางก่อน ก่อนที่เขาจะพุ่งสกัดใส่ใครสักคน ยกตัวอย่างจังหวะหนึ่งในเกม ยูโร 2000 นัดชิงชนะเลิศที่ อิตาลี เจอกับ ฝรั่งเศส ในเกมนั้น ซีเนอดีน ซีดาน เปลี่ยนบอลออกด้านข้างให้ ซิลแว็ง วิลตอร์
โดยในคลิปจังหวะนั้น เนสต้า เริ่มขยับเข้าหา วิลตอร์ ตั้งแต่ตอนที่ ซีดาน ก้มหน้าจะเปิดบอลแล้ว แต่ด้วยความห่างในการยืน เนสต้า จึงไม่เข้าปะทะในทีแรกแต่วิ่งมาคุมพื้นที่เอาไว้ ซึ่งเมื่อ วิลตอร์ จับบอลจังหวะแรกที่กำลังจะล้นออกข้างให้เข้ามาในสนาม เงยหน้ามาอีกที เนสต้า ก็พุ่งสไลด์มาสุดตัวและเอาบอลไปจากเท้าของ วิลตอร์ พร้อมกับเสียงปรบมือสนั่นหวั่นไหวทั้งสนาม
เวย์น ฟาร์รี่ คนเขียนบทความกล่าวต่อว่า เนสต้า สุดยอดเพราะอ่านสถานการณ์เก่ง เขาไม่มีวิ่งเป็นบ้าและไม่เสียพลังงานไปแบบเปล่า ๆ ผ่านการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น เขามีความคิด และคำนวณในหัวเเล้ว (ยกตัวอย่างจังหวะวิลตอร์) ในการเข้าบอลแต่ละครั้ง
เขาเข้าคุกคามผู้เล่นฝั่งตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว และถ้าหากคู่แข่งไม่มีสมาธิ หรือเผลอเพียงเเว้บเดียว .. เนสต้า จะใช้จังหวะนั้นถึงตัวทันที นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาถูกจำในฐานะกองหลังที่เข้าบอลหนักแต่ไม่ฟาวล์
“มันเหมือนกับแก๊งล้วงกระเป๋าในที่สาธารณะ… รวดเร็ว แม่นยำ ทำโดยที่เป้าหมายไม่รู้ตัว” เขาอธิบายอย่างเห็นภาพ
ความดุดัน พลัง ความนิ่ง เทคนิค การยืนตำแหน่ง ความอ่านสถานการณ์ล่วงหน้า ความเป็นผู้นำ หรือแม้แต่การเข้าสกัดที่ยอดเยี่ยม .. เนสต้า มีทั้งหมดที่กล่าวมา เขาคือ R9 (โรนัลโด้) ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค พูดแบบนี้ก็ไม่เกินเลยไปนัก
และตัวผู้เขียนเองเมื่อเขียนบทความนี้ก็เปิดดูคลิปวีดีโอของ เนสต้า เพื่อทบทวนความจำในสมอง จึงได้พบว่าคำอธิบายที่ง่ายที่สุดคือ เนสต้า เล่นเหมือนกับ ฟาน ไดจ์ค ในตอนนี้ เพราะทำได้ทั้งเป็นตัวชน ตัวเก็บ และเป็นผู้นำในการจัดแผงเกมรับของทีมด้วย
เขามักจะชี้นิ้วบอกให้ทุกคนทำอะไรต่อมิอะไรตามที่เขาสั่ง เช่นเวลาที่คู่แข่งเจอเขาขวางอยู่และเลี้ยงวนกลับหลัง เนสต้า จะชี้มือให้คนที่อยู่ใกล้คู่แข่งคนนั้นเข้าบีบทันที เพราะเป็นจังหวะหันหลังให้ประตู เล่นยาก พลิกยากกว่าเดิมเป็น 2 เท่า
และที่เหลือเชื่อก็คือ เนสต้า เป็นกองหลังที่เจอจังหวะ 2 รุม 1 บ่อยครั้งมาก แต่เขาเอาตัวรอดด้วยการยืนตำแหน่งขึ้นเทพ แม้จะไม่เร็วมาก แต่เขาสามารถยืนกั๊กตำแหน่งได้เนียนกริบ เปลี่ยนจากสถานการณ์ 2 รุม 1 กลายเป็น 1 รุม 2 ได้อย่างเหลือเชื่อ กล่าวคือ การยืนของเขาทำให้ตัวที่มีบอลเลือกไม่ถูกว่าจะเลี้ยงหรือจะจ่าย ขณะที่ตัวที่วิ่งทำทางก็เดาไม่ถูกว่าจะต้องวิ่งฉีกไปทางไหน
ซึ่งส่วนใหญ่การจะเอาชนะ เนสต้า ได้คือคุณต้องเล่นเป็นทีม มีการเข้าทำอย่างเป็นระบบเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ เนสต้า ก็ยอมรับด้วยตัวเองว่า การเข้าทำเกมรุกแบบทีมเวิร์กคือสิ่งจัดการได้ยากที่สุด โดยเขาได้ยกตัวอย่างในช่วงปี 2011 ที มิลาน เจอกับ บาร์เซโลน่า ที่คัมป์ นู
ซึ่งตอนนั้น ลิโอเนล เมสซี่ กำลังพีก เลยก็ว่าได้ โดยจังหวะที่ บาร์เซโลน่า ได้ประตูในเกมนั้น เกิดจากการเล่นแบบขยับกันทั้งทีมจนเป็นประตูของ เปโดร โรดริเกซ และ ดาบิด บีญ่า ในท้ายที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้นหากคุยเรื่องการหยุดกันแบบตัวต่อตัว แม้กระทั่ง เมสซี่ ในวันที่พีกที่สุด เนสต้า ก็เสียบคว่ำแย่งบอลจากเท้ามาแล้ว
ในช่วงแรก ๆ มีจังหวะที่ เมสซี่ ทำในสิ่งที่ถนัดที่สุดนั่นคือการเลี้ยงเลาะผ่านแนวรับด้วยการขยับจังหวะหรอกแบบเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวไป … นักเตะมิลานปล่อย เมสซี่ ไปถึงพื้นที่สุดท้าย และในขณะที่ เมสซี่ จะยิงเดาซิว่าใครเป็นคนพุ่งสไลด์มาเสียบเขาทั้งตัวแบบที่โดนบอลเต็ม ๆ ใช่แล้วคน ๆ นั้นคือ เนสต้า ตอนอายุ 35 ปีแล้ว และเขาสามารถหยุด เมสซี่ ไม่ให้ทำประตูได้ในเกมนั้นที่คัมป์ นู (เสมอกัน 2-2) … นี่คือเรื่องที่เห็นไม่บ่อยนัก
ดังนั้นถ้าคุณจะผ่าน เนสต้า คุณต้องรุมใส่เขา จะสรุปแบบนี้ก็คงไม่เกินเลยไป … นี่คือความสุดยอดที่บอกผ่านอาชีพค้าแข้งของ อเลสซานโดร เนสต้า ผู้นี้นี่เอง
หากท่านใดสนใจสมัครให้กดลิ้งนี้ หรือมีข้อสงสัยสามารถสอบถามมาได้ที่…
https://member.ufafun88.fun/register/?s=google
หรือแอดไลน์